มะเร็ง เริ่มจากที่เราคุ้นเคยกันก่อนเลย กัญชากับมะเร็งนั้น ได้ มีการทดสอบในระดับห้องปฏิบัติการกับสัตว์ทดลอง พบว่าทั้งสาร THC และ CBD นั้นสามารถทำลายเซลล์มะเร็งได้หลายชนิด ไม่ส่งผลต่อเซลล์ปกติ พร้อมยับยั้งการเติบโตของเซลล์มะเร็ง ลดอาการคลื่นไส้จากการได้รับยาเคมีบำบัด และสำหรับในผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย สามารถใช้เพื่อ ลดอาการปวด เพิ่มคุณภาพการนอน ช่วยลดความเครียดได้ 2. โรคปวดเรื้อรัง สารสกัดจากกัญชาสามารถช่วยลดบรรเทาอาการปวดเรื้อรังได้ 3. โรคเอดส์หรือ HIV สารสกัดจากกัญชามีส่วนช่วย เพิ่มความอยากอาหาร ช่วยให้หลับง่ายขึ้น ช่วยให้อารมณ์ดีหรือสดชื่นขึ้น สรุปคือไม่ได้รักษาโดยตรงแต่ทำให้มีชีวิตที่ดี ขึ้นจากการกินที่มากขึ้น หลับได้ง่ายลง ผู้ป่วยนั้นมีความรู้สึกดีขึ้น 4. โรครูมาตอยด์ สารสกัดจากกัญชามีส่วน ช่วยลดอาการปวดข้อ ช่วยลดอาการอักเสบทำให้ผู้ป่วยโรครูมาตอยด์นั้นสามารถใช้ชีวิตได้ดีขึ้น 5. โรคลมชัก สารสกัดจากกัญชามีผลวิจัยชี้ว่าช่วยลดความถี่ในอาการชักได้มากถึง 50 เปอร์เซ็นต์ 6. โรคอัลไซเมอร์ สารสกัดจากกัญชานั้น ช่วยลดพฤติกรรมที่ตื่นเต้น ช่วยลดการสะสมโปรตีนในสมองซึ่งเป็นสาเหตุของโรค จะเห็นว่าประโยชน์ของกัญชานั้นมีมากกว่าที่คิด แม้บางอย่างยังอยู่ในการทดลองศึกษาแต่เชื่อว่าในอนาคตกัญชาจะเป็นหนึ่งในทางเลือกทางการแพทย์ที่ได้รับการยอมรับอย่างมากขึ้น เพราะฉะนั้นเราควรที่จะศึกษาและให้ความสำคัญ แล้วมองกัญชาในแง่ดีที่มากยิ่งขึ้น สำหรับใครที่อยากทำความรู้จักกัญชามากขึ้น สามารถอ่านได้ที่นี่ได้เลย สงสัยกันไหม กัญชากับกัญชง ต่างกันอย่างไร?
Skip to content ประเด็นน่าสนใจ อย. เผยการนำ 'กัญชา' ไปปรุงเมนูอาหารไม่ผิดกฎหมาย แต่ต้องซื้อมาจากแหล่งปลูกที่ได้รับอนุญาตจาก อย. เท่านั้น อย. กำลังทยอยทำประกาศปลดล็อกการนำส่วนของพืชกัญชาไปใส่ในอาหารและผลิตภัณฑ์มากยิ่งขึ้น ภายหลังจากที่ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย. ) ได้ออกประกาศกระทรวงสาธารณสุข (สธ. ) เรื่อง ระบุชื่อยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 พ. ศ. 2563 ปลดล็อกส่วนของพืชกัญชา-กัญชง ประกอบด้วย เปลือก ลำต้น เส้นใย กิ่งก้าน ราก และใบ ซึ่งไม่มียอดหรือช่อดอกติดมาด้วย ให้พ้นจากการเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 5 เพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์สูงสุดตามหลักความปลอดภัย โดยประกาศใช้ในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2563 และได้รับความสนใจจากผู้ประกอบการธุรกิจอย่างมากในการนำส่วนต่างๆ ที่ปลดล็อกแล้วไปใช้ประโยชน์ ต่อยอดธุรกิจและสร้างเศรษฐกิจของประเทศ วันนี้ (19 กุมภาพันธ์ 2564) ภญ. สุภัทรา บุญเสริม รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา กล่าวถึงสิ่งที่ผู้ประกอบการต้องทราบ ก่อนนำส่วนของพืชกัญชา-กัญชง ที่ได้รับการปลดล็อกแล้วไปใช้ในการปรุงอาหาร หรือเครื่องดื่ม ว่า สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ ร้านค้า/ร้านอาหาร ที่นำส่วนประกอบของพืชกัญชาไปประกอบอาหาร เครื่องดื่มจำหน่าย จะต้องซื้อมาจากแหล่งปลูกที่ได้รับอนุญาตจาก อย.
อีก ทั้งนี้ ภญ. สุภัทรา กล่าวว่า โรงพยาบาล (รพ. ) เจ้าพระยาอภัยภูเบศร มีความพยายามในการเผยแพร่เมนูอาหาร หรือ เครื่องดื่มจากพืชกัญชา-กัญชง ให้สำหรับผู้ที่สนใจ เช่น น้ำชาใบกัญชา ก็จะไม่ใช่การนำใบมาปั่นแล้วดื่มได้ทันที แต่จะมีส่วนประกอบอื่นด้วย ส่วนต่อไปที่คาดว่าจะออกมาได้เร็วที่สุด คือ ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางจากกัญชา-กัญชง สมุนไพรที่ใช้ภายนอก เช่น ลูกประคบ ยาดม ยาหมอง ในสัปดาห์หน้าก็จะมีการปลดล็อกผลิตภัณฑ์อาหาร เช่น น้ำมันและเมล็ดกัญชง ต่อไปก็จะปลดล็อกส่วนของใบ กิ่ง ก้าน เพื่อสามารถนำใส่ในเบเกอร์รีได้ และจะปลดล็อกสารซีบีดี (CBD) ในเครื่องดื่มต่อไป ซึ่งจะทยอยเป็นเฟสตามความเสี่ยงของผลิตภัณฑ์
6-1% ที่ผ่านมาจึงมีการกำหนดให้กัญชง (กัญชาที่มี THC ต่ำ) อยู่ในระดับดังกล่าว แต่กฎหมายฉบับใหม่กำหนดไว้ที่ 0. 5% ส่วนการกำหนดปริมาณของสารสกัดหรือผลิตภัณฑ์จากสารสกัด CBD โดยต้องมี THC ต่ำ ๆ ตามในประกาศ ไบโอไทยระบุว่า กัญชงสายพันธุ์ไทยมีข้อจำกัด และหากจะพึ่งสายพันธุ์ต่างประเทศ การสกัดโดยประชาชนเพื่อให้ได้น้ำมันที่มี THC 0. 2% นั้นก็ ไม่สามารถทำได้ง่าย ๆ กรณีนี้ เลขาธิการ อย. ได้ชี้แจงว่าเจตนารมณ์ในการกำหนดปริมาณตามประกาศก็เพื่อจะใช้เป็น "สารมาตรฐานในห้องแล็บ" "ใช้เฉพาะในห้องแล็บเท่านั้น เราจะใช้กลไกของ อย. ในการตรวจสอบการนำเข้าเพื่อวัตถุประสงค์ในการใช้เป็นสารมาตรฐานอย่างเดียว" เลขาธิการ อย. ระบุ และชี้แจงว่า เดิมที่กำหนดไว้ที่ 1% เพราะนำกัญชงไปใช้แค่ส่วนของเส้นใย (อุตสาหกรรมนุ่งห่ม) อย่างเดียว เมื่อปลดล็อกสารสกัดจึงพิจารณาเรื่องความปลอดภัยเป็นหลักจึงกำหนดปริมาณของ THC ไว้ต่ำ ภาคประชาชนร้องทบทวนใหม่ นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีสถาบันแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย มหาวิทยาลัยรังสิต ในฐานะเครือข่ายประชาสังคมกัญชาเพื่อการแพทย์สำหรับประชาชน ตั้งข้อสังเกตว่า ประกาศฉบับนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงจากประกาศฉบับเดิมปี 2559 ที่กำหนดปริมาณสาร THC ในกัญชงไว้ 1% ซึ่งคาดว่าเป็นการกำหนดปริมาณจากกัญชงสายพันธุ์ไทย นายปานเทพซึ่งเดินทางไปที่ อย.