ผู้ที่กระทำความผิดกฎจราจรส่วนใหญเป็นเพซชาย มีอายุระหว่าว 20-29 ปี รวม 27, 204 ราย 1.
ถ้าคุณรู้สึกง่วงนอน รู้สึกเหนื่อยล้าให้รีบจอดรถในจุดพักรถ เพื่อแวะนอนงีบก่อน หรือจะลองดื่มกาแฟ ล้างหน้าล้างตาก็จะช่วยให้เราหายง่วงได้นะ 4. ขับรถคร่อมเลนถนน หากใครที่มีพฤติกรรมชอบขับรถคร่อมเลน ไม่ยอมเลือกไปทางซ้ายหรือทางขวาสักเลน ระวังจะเกิดอุบัติเหตุรถเฉี่ยวชนโดยไม่รู้ตัว มีผลให้ผู้ขับขี่คนอื่นเสี่ยงอันตรายตามไปด้วย ซึ่งตามพ. จราจรทางบก พ. 2522 กำหนดไว้ว่า การขับรถคร่อมเลนหรือทับเส้นทึบแนวแบ่งช่องรถ โดยไม่ได้เปลี่ยนช่องเดินรถ เลี้ยวรถ หรือกลับรถนั้นจะมีความผิดตามกฎหมายจราจรทางบกจะ มีโทษปรับอยู่ที่ 400 - 1, 000 บาท แล้วยิ่งสมัยนี้มีกล้องคอยตรวจจับถนนทุกเส้นทาง ถ้าไม่อยากเสียค่าปรับฟรีๆ ก็อย่าลืมเคารพกฎจราจรกันนะจ๊ะ นอกจากนี้เรายังสามารถอ่าน ข้อสอบใบขับขี่ 2563 สำหรับรถยนต์และมอไซค์ เพิ่มเติมได้เลย จะมีสัญลักษณ์ป้ายจราจร เครื่องหมายที่สำคัญ พร้อมวิธีการขับรถให้ปลอดภัยและถูกกฎหมายให้กับผู้ขับขี่ด้วย 5. เเซงแบบกระชั้นชิด ถึงแม้ว่าเราจะเร่งรีบมากแค่ไหน ก็ไม่ควรแซงหน้ารถคันอื่นแบบกระชั้นชิดเด็ดขาด เพราะ การขับรถแซงทันทีจะเสี่ยงทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย หลายคนที่ขับรถบนท้องถนนชอบจะเอาเปรียบผู้ร่วมทางอยู่เสมอ เพื่อให้ตัวเองไปถึงที่หมายเร็วๆ โดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของผู้อื่น พอรถเกิดการชนกันก็ต้องมานั่งเสียเวลาเคลมอีก ดังนั้น ผู้ขับขี่รถทุกคันที่ต้องการจะเลี้ยวหรือแซงหน้ารถคันอื่นจะต้องชะลอความเร็ว พร้อมเดินรถไปข้างหน้าให้ห่างกับรถคันที่ต้องการแซงอย่างปลอดภัย แล้วที่สำคัญอย่าลืมใช้สัญญาณไฟกระพริบเลี้ยวล่วงหน้า เพื่อส่งสัญญาณให้คันหลังรู้ตัวด้วยว่าเรากำลังจะเปลี่ยนเลนถนน 6.
ผลิตภัณฑ์อื่นๆ ระบบบริหารจัดการผู้ติดต่อเข้าและออกอาคาร ระบบบริหารจัดการผู้ติดต่อเข้าและออกอาคาร รายงานสรุปการใช้งานบุคคลเข้าออกแบบรายวัน เดือน ปี รองรับการตรวจสอบเอกสารยืนยันตัวตนว่าเป็นของที่ออกมาถูกกฏหมายหรือไม่ รองรับมาตรฐานการใช้งานบัตรสมาร์ทการ์ดและแถบแม่เหล็กพร้อมทั้งสามารถอ่าน QR-Code Bar-Code และหนังสือเดินทางได้
ค่าใช้จ่ายโดยตรง เป็นค่าใช้จ่ายที่มีความสัมพันธ์และมีผลสืบเนื่องมาจากอุบัติเหตุโดยตรง เช่น - ค่าขนส่งผู้บาดเจ็บไปโรงพยาบาล - ค่ารักษาพยาบาล - ค่าใช้จ่ายในการพักฟื้น - ค่าซ่อมแซมทรัพย์สินที่เสียหายจากผลโดยตรงของอุบัติเหตุ 2. ค่าใช้จ่ายโดยอ้อม เป็นค่าใช้จ่ายที่มีความสัมพันธ์กับความสูญเสียทางอ้อม เช่น - ค่าเสียหายของการหยุดกิจการหรือเครื่องจักรหยุดทำงาน - ต่าเสียหายจากการสูญเสียโอกาสของผู้เสียชีวิต ซึ่งถ้ายังมีชีวิตอยู่จะสามารถทำงานให้กับครอบครัว สังคมและประเทศชาติได้ 3. การสร้างความตระหนักให้ชุมชนเห็นความสำคัญของความปลอดภัย การสร้างความตระหนักให้ชุมชนเห็นความสำคัญของความปลอดภัย มีดังนี้ 1) สร้างความเชื่อมั่นใน "คุณค่าของคน" โดยให้ชุมชนได้เห็นความสำคัญของเพื่อนบ้านหรือคนที่อยู่อาศัยในสังคมเดียวกัน ชุมชนหรือหน่วยงานเดียวกัน มีความเห้นว่า ชีวิตทุกคนมีคุณค่าต้องช่วยเหลือแบ่งปัน พึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน เนื่องจากทุกคนที่อยู่ร่วมกันในสังคมมีความเท่าเทียมกันมีความสำคัญเหมือนกัน ควรแสดงความเห็นอกเห็นใจกัน ให้ความรัก ความมั่นใจต่อกัน 2) สร้างหรือปลูกฝังจิตสำนึกปลอดภัย ให้เกิดขึ้นในจิตใจของทุกคน โดยมีกิจกรรม ดังนี้ 1.
ผลกระทบจากพฤติกรรมเสี่ยงของตนเองต่อชุมชน พฤติกรรมเสี่ยงนำมาซึ่งอุบัติเหตุและจะก่อให้เกิดความสูญเสีย ทั้งความสูญเสียทางตรง เช่น ชีวิต ทรัพย์สิน ค่าใช้จ่าย ในการรักษาพยาบาลและความสูญเสียทางอ้อม เช่น ความเศร้าโศกเสียใจ เบื่อหน่าย ท้อแท้ต่อชีวิต หมดกำลังใจ สูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักของครอบครัว เป็นต้น ดังนั้นการตระหนักถึงความสำคัญของความปลอดภัย ควรจะปลูกฝังให้เกิดขึ้นกับประชาชนทุกคน ในปัจจุบันมีคนไทยจำนวนไม่น้อยต้องเสียชีวิตก่อนวัยอันควรจากการได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ เองจากมีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น การขับขี่ยานพาหนะโดยใช้ความเร็วสูงเกินกฎหมายกำหนด การขับขี่ขณะมึนเมา เป็นต้น 1. พฤติกรรมเสี่ยงของตนเองต่อชุมชน พฤติกรรมเสี่ยงมีหลายรูปแบบ ทั้งที่เกิดขึ้นกับตนเองและส่งผลกระทบต่อชุมชน ที่พบบ่อยโดยทั่วไปสามารถนำเสนอเป็นกรณีศึกษา 2 เรื่อง ดังนี้ 1. 1 การประเมินผลกระทบจากพฤติกรรมเสี่ยงของประชาชนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ช่วงเทศกาลสงกรานต์ ประชาชนส่วนใหญ่ต้องเดินทางไปต่างจังหวัด มีการจัดพิธีรดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ จัดเลี้ยงสังสรรค์ มีงานรื่นเริงต่างๆ ซึ่งทำให้เกิดความสุข สนุกสนาน จนลืมนึกถึงผลกระทบต่างๆที่ตามมาจากพฤติกรรมเสี่ยงของแต่ละบุคคล เช่น การเมาสุราแล้วขับรถ การไม่ตรวจสอบความพร้อมของยานพาหนะ การขับรถเร็วเกินไป การไม่ชุ้ปกรณ์ป้องกันความปลอดภัย การขาดสติ ขาดความระมัดระวัง เป็นต้น เป็นเหตุให้เกิดความเสี่ยงหรือเกิดอุบัติเหตุกัยตนเอง แล้วส่งผลกระทบต่อผู้อื่นอีกด้วย ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ พ.
เปิดไฟตัดหมอก โดยไม่จำเป็น เรื่องเปิดไฟตัดหมอกพบบ่อยเอามาก ๆ โดยชุดไฟตัดหมอกมีความสว่างจ้ากว่าปกติ รบกวนสายตาของเพื่อนร่วมทาง หลายคนบอกว่าแสงวาบที่สวนมา ทำตาพร่าไป 2-3 วินาทีเลยทีเดียว เชื่อเถอะว่าประเทศไทยนับครั้งได้ที่เจอหมอก ใครที่ชอบเปิดเพราะว่าสวยงามอยากให้คิดใหม่ ระวังโดนข้อหาเปิดไฟตัดหมอกหน้า-หลัง โดยไม่มีเหตุอันควร จับปรับ 500 บาท 5. ขับหรือจอดรถ บนทางเท้า ตำรวจจราจรเองกวดขันกันอยู่บ่อย ๆ เพราะไปรบกวนผู้เดินสัญจรบนทางเท้า อย่าเอาความสะดวกสบายของตัวเองเป็นหลัก แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีพบเจอกันบ่อย ๆ 6. ปาดหน้าแซงคิว เส้นทึบไม่สน โดยปกติแล้วทางคับขัน ไม่ปลอดภัย หรือเป็นจุดเสี่ยง จะมีการตีเส้นทึบบอกห้ามเปลี่ยนเลนตัวอย่างเช่น คอทางขึ้นสะพาน เลนยูเทิร์น และทางเบี่ยงเลน แต่ก็บ่อยครั้งจะเจอคนขับนิสัยมักง่ายขับแทรก ปาดหน้าเอาไว ไม่คิดต่อแถว เสี่ยงเกิดอุบัติเหตุ ก่อปัญหารถติดหนักกว่าเดิม 7. ขับช้าแช่ขวา เรื่องนี้เจอบ่อยแถมผู้มีพฤติกรรมแบบนี้จะมีข้ออ้างผิด ๆ อย่าง "ใช้ความเร็วตามกฎหมายกำหนดแล้ว" แต่ควรรู้เพิ่มเติมไว้ด้วยว่า พ. ร. บ. จราจร มาตรา 34 และมาตรา 35 เขียนไว้ชัดเจนว่า เลนขวามีไว้สำหรับแซงและเมื่อมีรถที่เร็วกว่า ต้องหลบซ้ายเท่าที่กระทำได้ สรุปให้ได้ง่าย ๆ หากมีใครมาต่อท้ายคุณเมื่ออยู่เลนขวาสุด ก็ควรเบี่ยงหลบให้เขาไปครับ 8.
คุณใช้เวลากี่ชั่วโมงต่อวันบนท้องถนน? เชื่อว่าคำตอบของแต่ละคนจะใช้เวลาไม่เท่ากัน แต่มีผลสำรวจเมื่อต้นปี 58 ว่าคนไทยใช้เวลาบนท้องถนนเฉลี่ย 20 ชม. ต่อสัปดาห์ หรือราว ๆ 2 ชม. 30 นาทีต่อวัน แต่ใช่ว่าจำนวนรถที่เยอะจะเป็นต้นเหตุของรถติดเพียงอย่างเดียว วันนี้เราจึงมาเปิด 10 พฤติกรรมสุดปวดตับ ที่เจอบ่อยในถนนเมืองไทย ทั้งปัญหาวินัยจราจรและพฤติกรรมการขับขี่ที่ก่อให้เกิดปัญหารถติด รวมถึงมีความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุ #ขับรถแย่แก้ไ ม ่ยาก #ToyotaCampusChallenge 1. จอดตรงไหนก็ได้ แค่เปิดไฟฉุกเฉิน?!?! เคยบ้างไหมที่ขับตามกันมาอยู่ ๆ เปิดไฟฉุกเฉินแล้วเดินลงจากรถไปเสียอย่างนั้น พบเห็นได้บ่อยมาก ที่ริมทางมีร้านอาหารเจ้าดังหรือมินิมาร์ทสะดวกซื้อ ทำให้รถที่ขับตามมาต้องเบี่ยงเลนออก เสี่ยงอุบัติเหตุ เสียการจราจรไปหนึ่งช่อง แค่สักพักเดี๋ยวรถก็เริ่มติดตามมาแน่นอน 2. เปลี่ยนเลน ไม่เปิดไฟเลี้ยว นี่เป็นอีกสาเหตุที่มักก่อให้เกิดอุบัติเหตุ ทั้งการเปลี่ยนเลน เลี้ยวเข้าซอย และบ่อยครั้งเมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาแล้วมาเปิดไฟเลี้ยวทีหลังเพราะกลัวความผิดเสียอย่างนั้น 3. ขับรถคร่อมเลนไปมา การที่ขับคร่อมเลนกินพื้นที่จราจร จะซ้ายไม่ซ้าย จะขวาไม่ขวา ทำให้รถคันหลังก็ไม่สามารถเดาทางได้ รวมไปถึงการคร่อมเลนเวลาเลี้ยวไม่ควรกินซ้ายหรือขวา เพราะอาจไปเบียดกับรถเลนอื่น 4.
ศ. 2547 ที่ผ่านมานั้น ศูนย์อำนวยความปลอดภัยทางถนน กรมป้องกันและบรรเทา สาธารณภัย (ศปภ. ) ได้สรุปสถิติการเสียชีวิตและการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุเมื่อวันที่ 9-18 เมษายน 2547 (รวม 10 วัน) ดังนี้ (: //) 1. ยานพาหนะที่ทำให้เสียชีวิตมากที่สุด ได้แก่ รถจักรยานยนตร์ คิดเป็นร้อยละ 52. 50 มีสาเหตุหลักมาจากการขับรถโดยประมาท คิดเป็นร้อยละ 83. 33 2. พฤติกรรมเสี่ยงของชีวิต ได้แก่ ไม่สวมหมวกนิรภัย ร้อยละ 53. 85 รองลงมา ได้แก่ เมาสุรา ร้อยละ 23. 08 3. มีผู้เสียชีวิตบนถนนเทศบาล/อบต. /หมู่บ้าน คิดเป็นร้อยละ 52. 94 รองลงมา ได้แก่ ถนนทางหลวง คิดเป็นร้อยละ 41. 18 4. ช่วงเวลาที่เสียชีวิตมากที่สุด คือเวลา 20. 01-24. 00 น. 5. สำหรับการตั้งจุดตรวจทั่วประเทศ เพื่อดำเนินการตามมาตรฐานการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ได้ดำเนินการเรียกตรวจรถจำนวนทั้งสิ้น 1, 404, 217 คัน 6. ยานพาหนะที่เรียกตรวจจับมากที่สุดได้แก่ มอเตอร์ไซค์ จำนวน 491, 903 คัน รองลงมาเป็นรถปิกอัพ จำนวน 482, 315 คัน 7. จากการตรวจจับพบว่า ไม่ปฏิบัติตามมาตรการ 3 ม. ได้แก่ ไม่สวมหมวกนิรภัย มอเตอร์ไซค์ไม่ปลอดภัย และมีแอลกอฮอล์เกินกฎหมายกำหนด รวม 58, 292 ราย แยกเป็น ไม่สวมหมวกนิรภัย 19, 892 ราย มอเตอร์ไซค์ไม่ปลอดภัย 5, 063 รายา มีแอลกอฮอล์เกินที่กฎหมายกำหนด 987 ราย 8.
/ชม. ต้องใช้ระยะทางในการหยุดรถถึง 76 เมตร และหากประสบอุบัติเหตุจะทำให้แรงปะทะ ณ จุดเกิดเหตุเพิ่มสูงขึ้น เช่น การขับขี่ด้วยความเร็ว 60 กม.